นอนกรนเกิดจากอะไร และทำไมอายุมากขึ้นจึงมีแนวโน้มกรนมากขึ้น

อาการนอนกรน เป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้ทั่วไปในคนทุกช่วงวัย แม้ว่าหลายคนจะมองว่าเป็นเรื่องปกติ แต่แท้จริงแล้ว นอนกรนอาจเป็นสัญญาณของปัญหาทางเดินหายใจที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว โดยเฉพาะในผู้สูงวัยที่มีแนวโน้มเกิดอาการนี้มากขึ้น

สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการนอนกรน

อาการนอนกรนเกิดขึ้นจาก การสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อบริเวณลำคอและทางเดินหายใจส่วนบน ขณะที่อากาศไหลผ่านช่องทางที่แคบลง เสียงกรนจะดังขึ้นเมื่อกล้ามเนื้อบริเวณคอคลายตัวมากเกินไปหรือมีสิ่งกีดขวางทางเดินหายใจบางส่วน

  • กล้ามเนื้อทางเดินหายใจคลายตัวมากเกินไป
    ขณะนอนหลับ กล้ามเนื้อบริเวณลิ้น เพดานอ่อน และลำคอจะผ่อนคลาย หากคลายตัวมากเกินไป อาจทำให้เกิดการอุดกั้นบางส่วนของทางเดินหายใจ ส่งผลให้เกิดเสียงกรน
  • โครงสร้างของลำคอและโพรงจมูก
    คนที่มี ต่อมทอนซิลใหญ่ ลิ้นไก่ยาว หรือโพรงจมูกตีบแคบ อาจมีโอกาสนอนกรนสูงกว่าคนทั่วไป เนื่องจากอากาศไหลผ่านทางเดินหายใจได้ยากขึ้น
  • ภาวะอ้วนและไขมันสะสมรอบลำคอ
    น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นทำให้มีไขมันสะสมบริเวณคอมากขึ้น ซึ่งไปกดทับทางเดินหายใจ ส่งผลให้หายใจลำบากขณะนอนและทำให้เกิดอาการกรน
  • อาการคัดจมูกและภูมิแพ้
    คนที่มีปัญหาภูมิแพ้เรื้อรัง ไซนัสอักเสบ หรือเป็นหวัด อาจเกิดอาการนอนกรนจาก ทางเดินหายใจอุดตันชั่วคราว ทำให้ต้องหายใจทางปากมากขึ้น ซึ่งเพิ่มโอกาสการเกิดเสียงกรน
  • ดื่มแอลกอฮอล์หรือใช้ยาบางชนิดก่อนนอน
    แอลกอฮอล์และยาที่มีฤทธิ์กดประสาท เช่น ยานอนหลับ ทำให้กล้ามเนื้อทางเดินหายใจคลายตัวมากเกินไป ทำให้เกิดอาการนอนกรนรุนแรงขึ้น

ทำไมอายุมากขึ้นถึงมีแนวโน้มกรนมากขึ้น

  • กล้ามเนื้อทางเดินหายใจอ่อนแอลง
    เมื่ออายุมากขึ้น กล้ามเนื้อบริเวณลำคอและเพดานอ่อนสูญเสียความยืดหยุ่น ทำให้โครงสร้างทางเดินหายใจแคบลง ส่งผลให้เกิดการสั่นสะเทือนและเสียงกรนที่ดังขึ้น
  • การสะสมของไขมันบริเวณลำคอ
    อายุที่เพิ่มขึ้นมักมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย รวมถึง ไขมันสะสมบริเวณลำคอที่มากขึ้น ทำให้การหายใจขณะนอนหลับเป็นไปได้ยากขึ้น
  • ความเสื่อมของระบบประสาทและกลไกการหายใจ
    ระบบประสาทที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อทางเดินหายใจอาจเสื่อมลง ทำให้กล้ามเนื้อไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
  • ปัญหาสุขภาพเรื้อรังที่เกี่ยวข้องกับอายุ
    โรคบางชนิด เช่น ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคเบาหวาน มีผลกระทบต่อระบบไหลเวียนโลหิตและทางเดินหายใจ ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการนอนกรนมากขึ้นในผู้สูงวัย

แนวทางลดอาการนอนกรนและปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับ

แม้ว่าอาการนอนกรนจะเพิ่มขึ้นตามอายุ แต่สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดความรุนแรงของอาการได้

  • ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
    ลดน้ำหนักสามารถช่วยลดไขมันบริเวณลำคอ ทำให้ทางเดินหายใจกว้างขึ้นและลดอาการนอนกรนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และยากดประสาทก่อนนอน
    ควรงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 3-4 ชั่วโมงก่อนเข้านอน และหลีกเลี่ยงการใช้ยานอนหลับหากไม่มีความจำเป็น
  • ปรับท่านอนเพื่อให้หายใจสะดวกขึ้น
    ควรนอนตะแคงแทนการนอนหงาย เพื่อลดการอุดกั้นทางเดินหายใจ โดยอาจใช้หมอนพิเศษช่วยพยุงศีรษะให้สูงขึ้น
  • รักษาความชุ่มชื้นของทางเดินหายใจ
    ดื่มน้ำให้เพียงพอและใช้เครื่องทำความชื้นในห้องนอน เพื่อลดการระคายเคืองของเนื้อเยื่อทางเดินหายใจ
  • ออกกำลังกายบริหารกล้ามเนื้อลำคอ
    การฝึกออกกำลังกายเฉพาะกล้ามเนื้อทางเดินหายใจ เช่น เป่าลูกโป่งหรือออกเสียงสระเป็นเวลา 10-15 นาทีต่อวัน อาจช่วยลดอาการนอนกรนได้
  • ตรวจสุขภาพเพื่อหาสาเหตุเพิ่มเติม
    หากอาการนอนกรนรุนแรงมาก ควรพบแพทย์เพื่อตรวจหา ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพหัวใจและระบบไหลเวียนโลหิต

สรุป: อาการนอนกรนเกิดจากการอุดกั้นของทางเดินหายใจ และพบมากขึ้นเมื่ออายุมากขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย

อาการนอนกรนมักเกิดจาก การคลายตัวของกล้ามเนื้อทางเดินหายใจ โครงสร้างของลำคอ และปัจจัยภายนอก เช่น น้ำหนักตัว แอลกอฮอล์ และปัญหาสุขภาพ ผู้ที่มีอายุมากขึ้นมีแนวโน้มที่จะกรนมากขึ้นเนื่องจาก ความเสื่อมของกล้ามเนื้อ ไขมันสะสม และปัญหาสุขภาพที่ส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจ

การลดอาการนอนกรนสามารถทำได้โดย ควบคุมน้ำหนัก ปรับท่านอน หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ ออกกำลังกายกล้ามเนื้อลำคอ และตรวจสุขภาพเป็นประจำ หากอาการรุนแรง ควรพบแพทย์เพื่อหาทางแก้ไขที่เหมาะสม

About the author